Laser Scan VS LiDAR Scan เทคโนโลยีไหนดีกว่ากัน ?
หากจะให้เลือกระหว่าง Laser Scan กับ LiDAR Scan ว่าใช้แบบไหนดีกว่ากัน อาจจะไม่สามารถตัดสินใจได้ในทันที เนื่องจากทั้งสองเทคโนโลยีนั้นมีหลักการ (Technological Foundation) ที่แตกต่างกัน
สำหรับ Laser Scan คือการใช้เทคนิคแสงเลเซอร์เพื่อจับภาพรูปทรงเรขาคณิตหรือวัตถุต่างๆ โดยการยิงแสงไปสะท้อนบนพื้นผิววัตถุ และใช้ระยะเวลาที่แสงเดินทางกลับมาเพื่อคำนวณระยะทาง แล้วนำข้อมูลที่ได้ไปขึ้นรูป Digital Model ซึ่งจะเรียกว่า Point Cloud
ส่วน LiDAR เป็นเทคนิคการสำรวจระยะไกลในรูปแบบของการสแกน โดยการส่งคลื่นเลเซอร์ลักษณะเหมือนชีพจร (Pulse) เพื่อวัดระยะทางและสร้างแผนที่ภาพ 3 มิติของภูมิประเทศ ใช้การจับแสงสะท้อนและวัดระยะเวลาที่ผ่านไป ก่อนที่ pulse จะสะท้อนจะกลับมา จึงสามารถสร้างแบบจำลอง Point Cloud ของพื้นที่โดยรอบที่สแกนได้
หากนำเทคโนโลยีมาเปรียบเทียบกันจะพบว่า
ด้านการใช้ Laser: ทั้งสองเทคนิคใช้แสงเลเซอร์เหมือนกัน แตกต่างตรงที่ Laser Scan จะเน้นไปที่การเก็บรายละเอียดขนาดเล็กและที่ต้องการความแม่นยำสูง ในขณะที่ LiDAR จะใช้เพื่อวัดระยะทางของพื้นที่ขนาดใหญ่ และต้องการอำนาจทะลุทลวงที่มากกว่า
ด้านผลลัพธ์ที่ได้: ทั้งสองเทคโนโลยีได้ผลลัพธ์เป็น Point Cloud เหมือนกัน แต่ต่างกันตรงที่ Laser Scan จะได้ข้อมูลที่มีความหนาแน่นกว่า มีรายละเอียดมากกว่า ส่วนข้อมูลที่ได้จาก LiDAR ค่อนข้างคล้ายกับ SAR (Synthetic Aperture Radar) ซึ่งจะได้ความละเอียดที่น้อยกว่า แต่จะได้พื้นที่ขนาดใหญ่กว่า
เมื่อเราทราบข้อดีของแต่ละเทคโนโลยีแล้วนั้น จึงพอจะสรุปสั้น ๆ ได้ดังนี้
Laser Scan มีความแม่นยำและความละเอียดสูง จึงเหมาะสำหรับงานที่ต้องการรายละเอียดของโมเดลมาก เช่น งานโครงสร้าง, งานตรวจสอบ, งานจำลองภาพ 3 มิติ (VR)
LiDAR Scan สามารถเก็บข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและบริเวณกว้าง สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งกับยานพาหนะ, ติดกับ UAV เพื่อเก็บข้อมูลพื้นผิวบริเวณพื้นที่ป่า, งานกลุ่มโยธาธิการและผังเมือง, งานเฝ้าระวังและบรรเทาสาธารณภัย
ทางบริษัทมีสินค้าชั้นนำมีคุณภาพพร้อมจำหน่ายและให้บริการ หากสนใจเทคโนโลยีตัวไหนสามารถติดต่อได้เลยครับ